ร่างการของคนเราสามารถส่งสัญญาณบอกเราได้
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติของสุขภาพโดยรวม “เท้า” ก็เป็นอวัยวะที่สำคัญมากไม่แพ้ส่วนอื่นในร่างกาย
หากเกิดสัญญาณเตือนผิดปกติขึ้น อย่างนิ่งนอนใจค่ะ!
อาการเท้าบวมเกิดจากหลายสาเหตุ
ซึ่งแพทย์จะเป็นคนวินิจฉัยสาเหตุของอาการเท้าบวม
การวินิจฉัยจะต้องดูประวัติอาการเจ็บป่วย โรคประจำตัว
ระบบความผิดปกติอวัยวะที่เกี่ยวข้อง
บางครั้งแพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจพิเศษเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคเมื่อมีข้อบ่งชี้เพิ่มเติม
อาการเท้าบวม เป็นสัญญาณของโรคใดบ้าง
วันนี้ Navattakam.com มีคำตอบมาฝากค่ะ
โรคร้ายเมื่อบ่มชี้มาจากอาการเท้าบวม
1. โรคไต
อาการบวมรอบตา หน้าบวม เท้าบวม สังเกตได้เวลาตื่นนอนหรือช่วงบ่ายๆ
หรือมีกิจกรรมในท่ายืนนานๆ สังเกตได้ว่าแหวนหรือรองเท้าที่เคยใส่จะคับขึ้น
เมื่อใช้นิ้วกดที่มือ และเท้าจะมีรอยกดบุ๋ม
2. โรคหัวใจ
อาการขาบวม เกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือโซเดียมและน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย
อาจเกิดจากโรคหัวใจบางชนิด
อาการบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลงเลือดจากขา
ไม่สามารถไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้สะดวกจึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น
3. โรคตับ
อาการบวมที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคตับมักจะเกิดขึ้นในระยะสุดท้ายของโรค
อาการบวมน้ำที่ท้องหรือที่เรียกว่าท้องมาน สาเหตุสำคัญเกิดจากภาวะโปรตีนต่ำในเลือด
โดยเฉพาะโปรตีนชนิดอัลบูมินซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการดึงน้ำ กลับเข้าสู่หลอดเลือด
โรคตับที่เกี่ยวกับตับพบบ่อยที่สุด คือ โรคตับแข็งและมะเร็งตับ
4. โรคหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน
มักเกิดกับผู้ประกอบ อาชีพที่ต้องเดินมากกว่าปกติ เช่น ครู พยาบาล
จราจร ช่างเสริมสวย พนักงานขาย เป็นต้น อาชีพเหล่านี้ล้วนแต่ยืนเป็นเวลานานๆ
การยืนอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการขาบวม เท้าบวม
ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อขาเมื่อยล้า
อาการปวดบวมที่ขาและเท้าเกิดจากการผิดปกติในการทำงานของหลอดเลือดดำทำให้การไหลเวียนของเลือดกลับสู่หัวใจไม่สะดวกและอาจเกิดอาการอื่นร่วมกับอาการปวดข้วย
เช่น อาจรู้สึกปวดขาเมื่อยล้า บวม ชา หรือร้อนวูบวาบ ตะคริวในตอนเย็นหรือกลางคืน
อาการเหล่านี้ถือเป็นอาการเริ่มต้น
หรือสัญญาณเตือนของการเกิดความผิดปกติของหลอดเลือดดำที่ขา ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้
การเสื่อมสภาพของหลอดเลือดดำอาจมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เช่น เส้นเลือดขอดอักเสบ
แผลเรื้อรัง อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตัน เป็นต้น
5. โรคเท้าช้าง
อาการในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีไข้เนื่องจากเกิดการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้
ขาหนีบ หรืออัณฑะ พยาธิตัวในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน
รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วยอาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ
และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวร
และผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ ต่อมาต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาจะบวมแดง
และเมื่อเป็นนานๆ ทำให้ผิวหนังบริเวณนี้หนา และขรุขระ ขาจะเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ
อาการขาโตเกิดจากการที่มีพยาธิโรคเท้าช้างตัวแก่ที่ตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ได้เข้าไปอุดตันท่อน้ำเหลือง
ทำให้เกิดการระคายเคืองในท่อน้ำเหลือง รวมทั้งปล่อยสารพิษที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ
6. โรคติดเชื้อ
7. โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าต์ เอ็นอักเสบ พังผืดอักเสบ
การรักษาและข้อควรปฏิบัติ
1. หลักสำคัญการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ
2. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
และป้องกันไม่ให้น้ำไหลลงไปคั่งที่ขา
การออกกำลังกายที่ช่วยให้กล้ามเนื้อและหลอดเลือดแข็งแรง ได้แก่ ว่ายน้ำ วิ่ง
ขี่จักรยาน แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่รุนแรงเกินไป เช่น กระโดดสูง กระแทกเท้า
3. กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี และฟลาโวนอยด์
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของผนังหลอดเลือดฝอย
4. ลดการกินอาหารที่มีรสเค็ม และไม่ควรปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไป
5. ถ้าต้องยืนหรือนั่งนานๆ ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณ น่องบ่อยๆ
เพื่อดันให้เลือดไหลกลับขึ้นมาด้านบน และลดอาการข้อเท้าบวม
6. ไม่ควรยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆ
ถ้าจำเป็นควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ
7. หลีกเลี่ยงไม่ให้ขาสัมผัสกับความร้อน เช่น อาบน้ำที่ร้อนเกินไป
ยืนบนพื้นร้อนๆ อาบแดดนานๆ
8. ยกเท้าสูงประมาณ 45 องศาขณะนอนพัก
จนกระทั่งรู้สึกสบายขึ้น จึงนอนต่อในท่าปกติ
9. ในกรณีที่ต้องยืนนานๆ ควรสวมถุงน่องที่ช่วยพยุง
และกระชับกล้ามเนื้อขา ซึ่งมีแรงบีบรีดไม่น้อยกว่า 30 มิลลิเมตรปรอท และควรสวมตั้งแต่เท้าจนถึงเหนือเข่า
10. ใช้ PERORIN SOLE SPA SHEET แปะเท้าช่วยผ่อนคลายเท้า
คลายปวดเมื่อยขณะนอนหลับเพื่อรักษาสุขภาพได้
ขอบคุณที่มาจาก manager.co.th (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 120 พฤศจิกายน 2553 โดย นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ)
เรียบเรียงโดย Navattakam.com